วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หินเดินได้

Sailing Stones เป็น 1 ใน ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ยังคงเป็น ปริศนา ที่เกิดขึ้นที่ อุทยานแห่งชาติเดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ประเทศ สหรัฐอเมริกา ส่งที่พบก็คือ จะพบร่องรอยการเคลื่อนที่ของก้อนหิน ที่ทิ้งไว้บนดินเหนียวที่แห้งเป็นทางยาว โดยปรากฏการณ์ธรรมชาติ นี้จะเกิดขึ้นทุก 2 - 3 ปี ครั้ง และหินบางก้อนก็ใช้เวลากว่า 3 - 4 ปีในการเคลื่อนที่

ปรากฏการณ์ ดินเดินได้ เกิดจากมนุษญ์ หรือ สัตว์ หรือไม่

จาก ลักษณะรูปร่างของร่องรอยการไถลของหินนั้นบ่งบอกได้ว่าหินก้อนนั้นต้อง เคลื่อนที่ในช่วงที่พื้นของเรซแทรค พลาย่านั้นถูกปกคลุมด้วยดินเหนียวอ่อนนุ่ม ถ้าเป็นฝีมือของคนหรือสัตว์จะต้องมีร่องรอยของการเหยียบย่ำรบกวนชั้นดิน เหนียวด้วย แต่ในบริเวณดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานร่องรอยจากคนหรือสัตว์ที่จะช่วยให้หิน เคลื่อนที่เลย มีเพียงร่องรอยการไถลของหินเท่านั้น

http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

ปรากฏการณ์ธรรมชาติน่าตื่นตาของโลก‏

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดอกไม้น้ำแข็ง



Ice Flowers เป็นอีก 1 ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สร้างความตกตลึงให้แก่ผู้พบเห็น เนื่องจากมันจะเกิดขึ้นบนทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็ง และเกิดมีเกร็ดน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นมาเป็น ช่อดอกไม้สีขาง กลีบบางผุดขึ้นมาเต็มพื้นน้ำแข็ง

สาเหตุ ของการเกิด ปรากฏการณ์ธรรมชาติดอกไม้น้ำแข็ง

* ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดอกไม้น้ำแข็ง เป็นหนึ่งในรูปแบบของแผ่นน้ำแข็ง ที่พึ่งก่อตัวขึ้นใหม่

* เมื่อไอน้ำอิ่มตัว ( Saturated Water Vapors ) ที่แทรกตัวขึ้นมาตามรอยแตกของแผ่นน้ำแข็ง

* เมื่อไอน้ำอิ่มตัว สัมผัสกับอากาศเย็นจัดด้านบนก็จะเริ่มก่อตัวเป็นเกร็ดน้ำแข็ง

* ส่วนเกลือบนที่อยู่บนผิวของเกร็ดน้ำแข็งก็จะเกิดการตกผลึก เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบนผิวของเกร็ดน้ำแข็ง

* ผลึกเกลือที่เกิดขึ้นจะเป็นเสมือนแกนให้ให้ไอน้ำอิ่มตัว ที่เหลือเกาะเป็นเกร็ดน้ำแข็งใหม่ขึ้นสลับไปมาจนซ้อนทับกันจนคล้าย กลีบดอกไม้



http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ปรากฎการณ์ ฟ้าผ่า ฟ้าแลบและ ฟ้าร้อง

ฟ้าผ่า ฟ้าแลบและฟ้าร้องเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ
ที่เกิดจากการถ่ายเทประจุไฟฟ้าจำนวนมากระหว่างวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างพื้นโลกกับก้อนเฆม หรือระหว่างก้อนเฆมกับพื้นดิน เหมือนกับหลักการที่ว่าถ้าเอาวัตถุต่างชนิดมาถูกันจะเกิดอำนาจของไฟฟ้าขึ้น ในวัตถุทั้งสองนั้น
ลมซึ่งประกอบด้วยโมเลกุลของแก๊สชนิดต่าง ๆ

•เมื่อพัดด้วยความเร็วสูงจะทำให้เกิดการขัดสีกับผิวพื้นโลกและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จึงทำให้โมเลกุลของลมได้รับประจุลบ (อิเล็กตรอน)

•เมื่อลมได้รับอิเลคตรอน และไปถ่ายเทให้กับด้านล่างของก้อนเมฆ

•เมื่ออิเล็กตรอน รวมตัวกันที่ด้านล่างของก้อนเมฆมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดหนึ่ง แรงผลักระหว่างอิเลคตรอนบนก้อนเมฆ จะผลักให้อิเลคตรอนที่ผิวโลกแยกตัวออกจากประจุบวก จนทำให้ผิวโลกมีประจุเป็นบวกเพิ่มมากขึ้น

•ประจุลบบนก้อนเมฆจะผลักกันเองและขณะเดียวกันจะถูกดูดโดยประจุบวกจากพื้นโลก จึงทำให้มีประจุลบเคลื่อนที่ลงสู่ผิวโลก เนื่องจากแรงผลักจากด้านบนและแรงดูดจากด้านล่าง

ซึ่งการที่ประจุเคลื่อนที่จากก้อนเมฆไปสู่ผิวโลกจะเรียกว่า ฟ้าผ่า

ถ้าประจุเคลื่อนที่จากก้อนเมฆไปยังก้อนเมฆเรียกว่า ฟ้าแลบ

ในขณะที่ประจุไฟฟ้าแหวกผ่านไปในอากาศด้วยอัตราเร็วสูงมันจะผลักดันให้อากาศ แยกออกจากกัน แล้วอากาศก็กลับเข้ามาแทนที่โดยฉับพลันทันที ทำให้เกิดเสียงดังลั่นขึ้น เราเรียกว่า ฟ้าร้อง








ฟ้าแลบและฟ้าร้องในพายุเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่มนุษย์เรามองเห็นฟ้าแลบก่อนต่อมาจึงได้ยินฟ้าร้องทั้งนี้ เพราะเหตุว่าแสงมีความเร็วมากกว่าเสียง แสงมีอัตราเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ส่วนเสียงมีอัตราเร็วประมาณ 1/3 กิโลเมตรต่อวินาทีเท่านั้น

เพราะเหตุนี้ เมื่อมีฟ้าแลบและฟ้าร้อง เราจึงได้เห็นฟ้าแลบหรือประกายไฟได้ทันทีและได้ยินเสียงฟ้าร้องทีหลัง

ถ้าเราต้องการทราบว่าฟ้าแลบอยู่ห่างจากเราเท่าใดเราก็จับเวลาตั้งแต่เมื่อเรา เห็นฟ้าแลบจนถึงเมื่อเราได้ยินเสียงฟ้าร้องว่าเป็นจำนวนกี่วินาที แล้วเอาจำนวนวินาทีคูณด้วย 1/3 ก็จะได้เป็นระยะกิโลเมตร เช่นเราจับเวลาระหว่างฟ้าแลบกับฟ้าร้องได้ 6 วินาที เราก็จะทราบได้ว่า ฟ้าแลบอยู่ห่างจากเราประมาณ 1/3 x 6 = 2 กิโลเมตร

ฟ้าผ่านั้นจะผ่าแต่สิ่งที่เป็นสื่อไฟฟ้า

และอยู่สูงขึ้นไปในท้องฟ้ามากกว่าสิ่งอื่น ในบริเวณข้างเคียงเสมอเพราะไฟฟ้านั้นต้องเดินทางลัดระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน ถ้ามีสื่ออะไรอยู่สูงมันก็จะผ่านลงมาทางสื่อนั้นจึงมีข้อห้ามกันว่า อย่าเดินกลางทุ่งโล่งในขณะที่ท้องฟ้าคะนอง อย่าถือโลหะออกอยู่กลางฝนขณะที่ฟ้าคะนองและอย่าอยู่ใต้ต้นไม้ที่สูงๆ ขณะที่ฟ้าคะนอง ฯลฯ เพราะจะทำให้ฟ้าผ่าได้

การป้องกันฟ้าผ่าอาคารสถานบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้าง

ทำได้โดยเอาโลหะปลาย แหลมขึ้นไปปักไว้ บนส่วนสูงที่สุดของสิ่งก่อสร้างนั้น แล้วต่อสื่อลงมาผูกกับแผ่นทองแดงฝังลงไปในดินให้ลึก ๆซึ่งจะเป็นทางเดินผ่านของกลุ่มอนุภาคไฟฟ้าจากอากาศ

ขอขอบคุณ ข้อมูลที่มีประโยชน์จาก เว็บไซต์Kmutt Library

เพื่อร่วมกันสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้บนโลกอินเตอร์เน็ต

สนใจหนังสือเชิญที่ http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

Link ที่เกี่ยวข้อง

•Clip VDO มาดูสิว่า ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เกิดจากอะไร
http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=29646

เคยรู้หรือเปล่าวว่ายีราฟกินน้ำยังไง













เคยรู้หรือเปล่าวว่ายีราฟกินน้ำยังไง

ยีราฟที่เด็กเห็นคอยาวๆ นั้น

แท้ที่จริงแล้ว น่าสงสารนะครับ

เพราะมีกระดูกข้อต่อคอเพียงเจ็ดข้อเท่านั้น

ทำให้เวลากินน้ำไม่สามารถล้มลงกินอย่างสัตว์อื่นๆได้

ต้องถ่างขาออก 

หลายคนคงจะเห็นในสารคดีแต่ไม่ได้สังเกตุ

สนใจหนังสือเชิญที่ http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหารสมองของสาววัยทำงาน

อาหารสมองของสาววัยทำงาน

ไปเจอบทความดี ๆ นี้ที่ สนุกดอทคอม

Chef’s Recommend

“ หากต้องการเพิ่มพลังงานให้สมอง สิ่งสำคัญคือต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน ที่สำคัญอย่างดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะอาหารเช้าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถช่วยให้เราทำงานผิดพลาดน้อยลงและมีความจำดีขึ้น การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้

เมนูแนะนำคือ ไข่ดาวน้ำที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสด 1 แก้ว แค่นี้สมองก็จะปลอดโปร่ง และทำงานได้คล่องแคล่วขึ้น

“ ช่วงครึ่งวันเช้าเหมาะกับการทำงานที่ต้องใช้ความคิดและสมาธิสูง เพราะร่างกายยังสดชื่น สมองปลอดโปร่ง ช่วยให้คิดอะไรใหม่ๆ ได้ไวและทำงานเสร็จเร็ว สำหรับอาหารกลางวัน แนะนำเมนูสลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว เพราะเนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนจะช่วยการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล

“ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าคนเราจะทำงานได้ดีในช่วงเช้าและหลัง 5 โมงเย็น แต่พอช่วงบ่ายคนเราจะเริ่มรู้สึกล้าคิดอะไรได้ช้าลง เหมาะกับทำงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดริเริ่มเท่าไหร่ ถ้าง่วงอาจหาอาหารว่างที่ไม่มีรสหวาน หรือเลือกอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำคือ โยเกิร์ตไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน 1 ช้อนชา

สำหรับคนที่ทำงานรอบดึกแนะนำเมนูอาหารเย็นเป็นข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือน้ำมันปลา โดยเฉพาะในน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก สุดท้ายอย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ ”

DO & DON’T

* กินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา เหมาะกับผู้ที่ต้องนั่งโต๊ะนานๆ เพราะในข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงาน แถมป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย...ว้าว

* วิตามินบีหรือที่เรียกว่า “สารให้ความกระปรี้เปร่า” มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น

* วิตามินซีที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ มีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียดได้

* น้ำมันปลา Omega-3 ในเนื้อปลาแซลมอน ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้าเบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย

* ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

* ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวันจะทำให้ร่างกายสดชื่น สมองแจ่มใส ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย และตะคริว ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสได้แม้อยู่ในห้องแอร์

* แนะนำให้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบหรือน้ำมะนาวในช่วงบ่ายที่กำลังง่วง เพราะมีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน มีวิตามินซีสูง แถมมีธาตุเหล็กอีกด้วย สำหรับน้ำใบบัวบก จริงๆ แล้วเป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลีย ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดี

* ทานของหวานหลังอาหารกลางวันช่วยเพิ่มความรู้สึกสดชื่นได้ยาวนานขึ้น การทานรสเปรี้ยวและหวานช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ถ้าตอนบ่ายง่วงอาจกินผลไม้รสเปรี้ยว อย่างมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ เพื่อเพิ่มความกระตือรือร้นได้

* ถ้าทำงานที่ต้องใช้สายตานานๆ ต้องมีถั่วติดโต๊ะไว้ เพราะถั่วมีวิตามินบี2 บำรุงสายตาได้ดี

* ผู้หญิงช่วงมีรอบเดือน ร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก จนทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ แนะนำให้ทานวิตามินซีควบคู่ไปกับการรับประทานเหล็ก จะเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

* ชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและช่วยให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวสะอาดปลอดโปร่งขึ้น เพราะถุงชาช่วยลดมลพิษภายในอาคาร ซึ่งเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศภายในอาคาร เช่น โรคภูมิแพ้ ผืนแดงตามร่างกาย เป็นต้น

* ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมื้อเช้า เพราะตื่นเช้าขึ้นมาร่างกายยังอ่อนแอปรับตัวไม่ทัน ยิ่งถ้าตอนเช้าคุณมีประชุมด้วยละก็อาจเดือดร้อนเพราะท้องเดินได้

* จริงๆ แล้ว ผู้ที่ไม่มีเวลารับประทานอาหารเช้าหรือติดดื่มกาแฟ ควรดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว แล้วค่อยดื่มกาแฟตาม เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน และอย่าลืมว่าครีมกับน้ำตาลทำให้อ้วนได้

* ทางที่ดีหลีกเลี่ยงชาและกาแฟ โดยเฉพาะในช่วงเย็นถึงกลางคืน เพราะอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ที่ดื่มชา กาแฟ และสุรา เป็นประจำจะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อยกว่าที่ควร

* สำหรับมื้อเที่ยงควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัด เพราะอาหารที่มีไขมันเยอะจะเกิดการสะสม ส่งผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า และก่อให้เกิดอาการหดหู่ ขาดความคล่องตัว

* เป็นความเชื่อผิดๆ ที่ว่ากินข้าวเหนียวจะทำให้ง่วง ในความเป็นจริง ข้าวเหนียวย่อยยากและใช้พลังงานสูงในการย่อย จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียหลังจากกินไปสักพักต่างหาก

สนใจหนังสือเชิญที่ http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

ทำไมคนเราต้องคิดถึง...

ทำไมวันนี้เศร้าจัง

ทำไมต้องรู้สึกเหงาด้วย

ทำไมเค้าไม่โทรหาเลย

ทำไมคนที่เรารัก ถึงไม่คิดเหมือนเรา

ทำไมคนที่เรารักถึงมองเราไม่ดีตลอดเวลา

แค่พูดคำว่า ที่บ้านนอกฝนตกแรงกว่าในเมือง

ก็โกรธว่าเราดูถูกคนบ้านนอก

(ฟังแล้วไม่เข้าใจใช่ไหม เราเองก็ไม่เข้าใจ)

ทำไมต้องหาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมาทะเลาะกันด้วย

คงเพราะเขาไม่ได้รักเรา

 ทำให้ต้องกินข้าวคนเดียว เดินห้างคนเดียว 

ทำไมต้องเดียวดาย
 
วันนี้เศร้าจัง  เห็นบทความนี้ใน bloggang.com

เข้ากับเราตอนนี้เลย

คิดถึงเขามากเลย

สนใจหนังสือเชิญที่ http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

ทำไมคนเราถึงปวดหัว

โดยปกติแล้ว ผมเห็นว่าตัวเองเป็นคนแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยซักเท่า(แทบไม่มีเลย)
แต่เมื่อไม่นานมานี้ เริ่มมีอาการปวดหัวเข้ามากวนใจอยู่บ่อย เลยเริ่มสงสัย ว่าทำไมคนเราถึงต้องปวดหัว
เลยเข้ามาหาข้อมูลใน google  ยังไม่ได้ที่ตรงใจตัวเองซักเท่า  แต่ได้ข้อมูลน่าสนใจเลยเอามาฝากครับ เป็นเรื่องการปวดหัวจากการนอนที่ผิดเวลา
การนอนที่ผิดเวลานั้น มีผลต่อการทำงานของสมองและร่างกาย กล่าวคือ ถ้าเราเคยออกวิ่งเวลานั้น หรือ เคยนั่งดูทีวี เวลานั้น อยู่เป็นประจำ เมื่อถึงช่วงเวลานั้น ร่างกายและสมองจะเตรียมตัวของมันโดยอัตโนมัติสำหรับกิจกรรมนั้นๆ เมื่อเราไปนอนก็เหมือนเราทำในสิ่งที่ร่างกายหรือสมองไม่พร้อมจะทำ นั่นคือที่มาของอาการปวดศรีษะ เป็นการแสดงการประท้วงหรือต่อต้านของสมอง ต่อสิ่งที่คุณได้ทำ นั่นคือการนอน

หวังว่าคำตอบนี้คงพออธิบายบางอย่างได้ นะครับ (จากคุณ Rich_Tawee )

ว่ากันว่า..เป็นช่วงที่กลางวันกับกลางคืนมาบรรจบกัน เป็นช่วงที่มนุษย์มีจิตอ่อนที่สุด..ผู้เฒ่าผู้แก่จะไม่ให้นอนหลับระหว่าง ช่วงนี้ หรือหลับแล้วก็ต้องปลุกให้ตื่นก่อน.ว่าจะอั้น. (จากคุณ komet)

คิดว่าร่างกายคนเรา เหมือนมีนาฬิกาชีวิต ถ้าเราทำบางอย่างที่ไม่สัมพันธ์กับความเคยชินของร่างกาย ร่างกายคงจะไม่สบาย และมีปฏิกิริยาบางอย่างแสดงออกมาค่ะ

เจอบทความนี้น่าสนใจ ลองอ่านดูนะคะ

นาฬิกาชีวิต (BIOLOGICAL CLOCK)

การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของ ร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง

อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต

อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถงุ นำ้ ดี ลำไสใ้ หญ่ ลำไส้เ้ ล็กกระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)

การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า “นาฬิกาชีวิต”

ช่วงเวลา ระบบที่เกี่ยวข้อง ข้อควรปฏิบัติ

01.00-03.00 น. ตับ นอนหลับพักผ่อนให้หลับสนิท

03.00-05.00 น. ปอด ตื่นนอน สูดอากาศบริสุทธิ์

05.00-07.00 น. ลำไส้ใหญ่ ขับถ่ายอุจจาระ

07.00-09.00 น. กระเพาะอาหาร กินอาหารเช้า

09.00-11.00 น. ม้าม พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ

11.00-13.00 น. หัวใจ หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง

13.00-15.00 น. ลำไส้เล็ก งดกินอาหารทุกประเภท

15.00-17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เหงื่อออก (ออกกำลังกายหรืออบตัว)

17.00-19.00 น. ไต ทำให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน

19.00-21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ ทำสมาธิหรือสวดมนต์

21.00-23.00 น. ระบบความร้อนของร่างกาย ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำร่างกายให้อบอุ่น

23.00-01.00 น. ถุงน้ำดี ดื่มน้ำก่อนเข้านอน
ตัวอย่างเช่น การไหลเวียนของเส้นลมปราณปอด จะมีพลังไหลเวียนเริ่มต้นที่เวลา 03.00 น.และสูงสุดในช่วงประมาณ 04.00 น. จากนนั้ จะค่อยๆ ลดลง และออกจากเส้นลมปราณปอดไปยังเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่เวลา 05.00 น.
การรักษาโรคของเส้นลมปราณปอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจึง ควรอยู่ระหว่างเวลา 0.00-05.00 น. ได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผลของการใช้ยาตะวันตก คือ ยาดิติตาลิสในการรักษาโรคหัวใจล้มเหลว (มีการคั่งของน้ำในปอด)

การให้ยาในช่วงเวลา 04.00 น. จะให้ผลออกฤทธิ์ประมาณสี่สิบเท่า ของการให้เวลาอื่น เป็นต้น การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของอวัยวะภายในปีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนและสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับเวลา (นาฬิกาชีวิต) ร่างกายเราจึงมีกลไกการปรับตัวมีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทำงานของระบบต่างๆ ฯลฯ เป็นไปตามสภาธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป

การดำเนินชีวิต และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิต ประจำวัน ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้

01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอนจากร่างกายจะหลั่งมีราทินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหารเพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับ คือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ

1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย

2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนักตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากจึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ

03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอดจึง ควรตื่นนอนลุก ขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็น ประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้นและจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว

05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูกถ้ายังไมถ่า่ยให้ดื่ม นํ้าอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง

(ลองอ่านเพิ่มเติมในลิ้งค์ ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกค่ะ)

สนใจหนังสือเชิญที่ http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

ที่มา: http://klang.cgd.go.th/rbr/clock.pdf (จากคุณ something)

เวลาโพล้เพล้ ไม่ทราบว่าใช่เวลาผีตากผ้าอ้อม แบบที่ผู้ใหญ่เรียกหรือเปล่านะคะ เคยได้ยินว่าถ้านอนช่วงนั้นเค้าเรียกว่า ตะวันทับตาค่ะ ไม่ควรนอนช่วงนั้น เหตุผลขอเดาว่า อาจจะเป็นการนอนเพียงช่วงสั้นๆ เป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเวลาเย็นไปสู่เวลาค่ำคืนด้วย ร่างกายอาจปรับตัวไม่ทันค่ะ และถ้านอนช่วงนี้ พอเวลาปกติก็จะนอนไม่หลับ ทำให้เช้าวันใหม่ไม่สดชื่นมั้งคะ (จากคุณ ROSE)

คำว่า นอนตะวันทับตา คือ นอนก่อนช่วงตะวันตกดิน ก็ประมาณ 17.30-18.30 น.

ถ้านอนไปนานๆ จนค่ำ จะทำให้ปวดหัว เรียกว่า ตะวันทับตา คนโบราณบอกกันมา ถ้านอนหลับบ่ายแก่ๆ ต้องปลุกให้ตื่นก่อนตะวันตกดิน “นับว่าหลากหลายเรื่องราว เกี่ยวกับข้อห้ามของคนโบราณที่เรานั้นเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง ซึ่งทุกอย่างนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอนและเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย

วันนี้ ขอกล่าวถึงความเชื่อในเรื่องของการนอนในช่วงหัวค่ำก็แล้วกัน ทำไมถึงห้ามนอนตอนหัวค่ำ และการนอนตอนช่วงหัวค่ำจะส่งผลอะไรกับผู้นอน

ตามความเชื่อของคนโบราณนั้น มีการห้ามนอนตอนหัวค่ำ เพราะกลัวตะวันทับตาเมือนอนแล้วจะไม่อยากตื่นหรือเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึก สับสนไม่รู้ว่าวันไหนเป็นวันไหน ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนก็ได้ประสบกับตัวเองมาเช่นกัน คือได้นอนหลับในตอนบ่าย แล้วตื่นขึ้นมาในช่วงหัวค่ำ แต่ลืมตาอย่างไรก็ลืมไม่ขึ้นซึ่งก็ตรงกับคำที่ว่าตะวันทับตานั่นเอง

เมื่อมองในอีกแง่มุมหนึ่งการห้ามนอนในตอนหัวค่ำก็เพื่อไม่ให้คนนอนตอน โพล้เพล้ เดี๋ยวกลางคืนจะนอนไม่หลับ แล้วคนโบราณเป็นคนนอนแต่หัวค่ำ ถ้านอนตอนเย็นแล้วตื่นแล้วนอนใหม่จะนอนหลับยาก เขาจึงออกกุศโลบายมาแบบนี้นั่นเอง” ที่มา (http://mblog.manager.co.th/bonkalasin/th-73543/)

รายละเอียดน้อยไปนิดนึง สรุปได้ว่าปวดหัวหลังตื่นนอนตอนเช้า อาการร่วมอย่างอื่นไม่มีเลยหรือคะ ประวัติการเจ็บป่วยอดีต หรือว่าโรคประจำตัวอื่น ที่ต้องกินยาเป็นประจำ ประวัติการได้รับอุบัติเหตุนะคะ งั้นก็คงบอกได้ในแบบกว้าง ๆ ค่ะ ลองค้นหาสาเหตุดูค่ะ

สาเหตุของการปวดศีรษะมีได้หลายประการ

1. มีความผิดปกติในเนื้อสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดในสมองโป่งพอง

2. มีความผิดปกตินอกเนื้อสมอง เช่น โพรงจมูกอักเสบ, หูอักเสบ, สายตาผิดปกติ

3. มีความตึงเครียดทางอารมณ์

****การรักษานั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของการปวด ต้องหาสาเหตุให้เจอ โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจยืนยันค่ะ

อาการปวดศีรษะที่พบบ่อยคือ

1. ปวดศีรษะไมเกรน (Headaches, Migrain)

2. ปวดศีรษะจากอารมณ์และความเครียด (Headeches, tension)

3. การปวดศีรษะรุนแรงแบบเกาะกลุ่ม (Headeches, cluster)

4. ปวดศีรษะจากความดันเลือดสูง

5. ปวดศีรษะเนื่องจากสายตาผิดปกติ

6. ปวดศีรษะเนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น จากไข้หวัด โพรงจมูกอักเสบ เป็นฝีที่รากฟัน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ สมองถูกกระทบกระเทือน…

(จากคุณ Morakot)

ก็ได้มาประมาณนี้  ขอบคุณ google และผู้ที่มอบข้อมูลดีๆ ตามที่ได้ลงชื่อไว้ท้ายบทความด้วยนะครับ

สนใจหนังสือเชิญที่ http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

การเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง










การเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง
เกิดจากแรงดึงดูดของโลก  ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ "วัตถุทุกชนิดในจักรวาล จะส่งแรงดึงดูดระหว่างกัน โลกได้รับแรงดึงดูดจากดาวสองดวง คือ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์  ส่งผลให้น้ำบนโลก เคลื่อนที่ตามทิศทางของแรงดึงดูดที่มากระทำต่อโลกเกิดเป็นปรากฎการ์ณคือ น้ำขึ้นและน้ำลง
สนใจหนังสือเชิญที่  http://astore.amazon.com/tuktik-brainfood-20

                                                                                                                                       ที่มาจากวิกิพีเดีย